
โหนกระแส EP1965 นารีพิฆาต เจ้าคุณอาชว์ ย่องสึก จากนั้นหายกริบ ปมถูกสาวไฮโซแบล็คเมล ในยุคที่ข่าวฉาวกลายเป็นไวรัลได้ในพริบตา สังคมไทยต้องเผชิญกับปรากฏการณ์ที่กระทบต่อ “ศรัทธา” อย่างรุนแรงอีกครั้ง เมื่อ พระนักเทศน์ชื่อดัง “เจ้าคุณอาชว์” ซึ่งมีภาพลักษณ์ผู้ทรงธรรม ได้ฃ
ตัดสินใจ ย่องสึกเงียบ ๆ ท่ามกลางกระแสข่าวลือหนาหูว่าเกี่ยวพันกับ หญิงสาวไฮโซ และถูกแบล็กเมลด้วยหลักฐานส่วนตัวกรณีนี้ถูกหยิบยกขึ้นวิเคราะห์อย่างเข้มข้นในรายการ โหนกระแส EP.1965 พร้อมตั้งคำถามสำคัญต่อศรัทธาที่เคยมั่นคง และพฤติกรรมที่อาจอยู่เหนือกรอบจริยธรรม แม้จะ
ไม่ใช่เรื่องผิดกฎหมายโดยตรงในบางแง่มุม แต่ก็สะท้อนให้เห็นถึงเส้นบาง ๆ ระหว่าง “พระ” กับ “คนธรรมดา” เมื่อกิเลสและเกมผลประโยชน์เข้าครอบงำท่ามกลางเสียงวิจารณ์ของประชาชน ทั้งฝ่ายที่ผิดหวังในตัวเจ้าคุณ และฝ่ายที่ตั้งข้อสงสัยว่าหญิงสาวใช้ความสัมพันธ์เพื่อเรียกรับผลประโยชน์
กรณีนี้กำลังกลายเป็นดราม่าระดับประเทศที่เต็มไปด้วยเงื่อนงำ และอาจกลายเป็นจุดเริ่มต้นของการเปิดโปงเครือข่ายลับที่เกี่ยวข้องมากกว่าที่เห็น ใต้จีวรอาจมีเงา ใต้เครื่องสำอางอาจมีเหยื่อ และใน “นารีพิฆาต” อาจไม่มีใครบริสุทธิ์เลยก็เป็นได้ เว็ปหนังดูฟรี
เจ้าคุณอาชว์: พระนักเทศน์ชื่อดัง เจ้าคุณอาชว์เป็นพระนักเทศน์ที่มีชื่อเสียงด้านธรรมะและการเผยแผ่ศีลธรรมผ่านสื่อ ทั้งโซเชียลมีเดียและงานบุญใหญ่หลายแห่งในภาคกลาง โดยมีผู้ติดตามจำนวนมาก ทั้งในแวดวงสงฆ์และฆราวาส
เริ่มมีข่าวลือ “ความสัมพันธ์ต้องห้าม” มีข่าวลือเงียบ ๆ ในวงใน ว่าเจ้าคุณอาจมีความสัมพันธ์กับหญิงสาวไฮโซรายหนึ่ง ซึ่งเป็นบุคคลในสังคมไฮคลาส โดยทั้งสองมีการติดต่อพูดคุย และพบกันนอกวัดในช่วงค่ำบ่อยครั้ง
ภาพ-แชต-คลิป หลุดจากฝั่งหญิงสาว หญิงสาวรายนั้นเริ่มเผยแพร่ภาพ–แชตสนทนา–หลักฐานส่วนตัว ที่บ่งชี้ถึงความใกล้ชิดเชิงชู้สาวกับเจ้าคุณ พร้อมขู่แบล็กเมลให้จ่ายเงินหรือทรัพย์สิน เพื่อแลกกับการไม่เปิดเผยข้อมูลต่อสาธารณะ
เจ้าคุณอาชว์ “ย่องสึกเงียบ” โดยไม่มีพิธีการ เมื่อข่าวลือเริ่มกระจายวงกว้างและมีแนวโน้มจะกลายเป็นเรื่องฉาว เจ้าคุณอาชว์ได้ ยื่นใบลาสิกขาอย่างเร่งด่วน โดยไม่มีพิธีสึกหรือการแถลงข่าวใด ๆ และหลังจากนั้น หายตัวไปจากสื่อ–โซเชียล–งานกิจกรรมทั้งหมด
โหนกระแส EP.1965 เปิดประเด็น “นารีพิฆาต” รายการโหนกระแสนำคดีนี้มาวิเคราะห์ในมุมของศีลธรรม–กฎหมาย–และพฤติกรรมหญิงสาวที่อาจเข้าข่าย “แบล็กเมลพระ” โดยใช้คำว่า “นารีพิฆาต” เมื่อผู้หญิงเป็นฝ่ายไล่ล่าผู้ทรงศีล
โลกออนไลน์แตกเป็น 2 ฝ่าย ฝ่ายหนึ่งโจมตีเจ้าคุณว่าเสื่อมเสีย ไม่มีวินัยสงฆ์อีกฝ่ายกลับมองว่าถูกหญิงสาวล่อลวง และถูกเรียกเงิน เกิดกระแสแฮชแท็ก #นารีพิฆาต #เจ้าคุณอาชว์ #หลงกลนาง
ยังไม่มีการแจ้งความหรือดำเนินคดีแม้มีการพูดถึงเรื่อง “แบล็กเมล” แต่ยังไม่มีฝ่ายใดออกมายื่นแจ้งความหรือดำเนินคดีอย่างเป็นทางการ คาดว่าอยู่ระหว่างการเจรจา “หลังม่าน” หรืออาจมีข้อตกลงบางอย่าง
“เจ้าคุณอาชว์” พระนักเทศน์ชื่อดัง ผู้มีภาพลักษณ์เป็นผู้ทรงธรรมและมีบทบาทในสื่อธรรมะอย่างกว้างขวาง กำลังกลายเป็นจุดศูนย์กลางของกระแสดราม่าในโลกออนไลน์ หลังมีการเปิดเผยว่าเขาได้ ลาสิกขาแบบเงียบ ๆ โดยไม่มีพิธีการหรือตอบคำถามสื่อใด ๆ ทั้งสิ้น ท่ามกลางข่าวลือแรงว่า เขาอาจมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับ สาวไฮโซคนหนึ่ง ซึ่งภายหลังได้ใช้ข้อมูลส่วนตัวเพื่อแบล็กเมลเรียกรับผลประโยชน์
หญิงสาวผู้มีฐานะและภาพลักษณ์ดีในสังคม ได้อ้างว่าตนมี “หลักฐาน” เกี่ยวกับความสัมพันธ์กับเจ้าคุณ ทั้งภาพถ่าย แชตส่วนตัว และข้อมูลอื่น ๆ ที่อาจสร้างความเสียหายรุนแรงหากหลุดสู่สาธารณะ มีข่าวลือว่าเธอเรียกเงินจำนวนหลายแสนบาทเพื่อไม่ให้เปิดเผยสิ่งเหล่านั้น โดยขู่ว่าหากไม่ได้ จะ “ปล่อยภาพ” เมื่อข่าวเริ่มแพร่กระจาย เจ้าคุณอาชว์ตัดสินใจ ยื่นใบลาสิกขาเร่งด่วน และหายตัวไปจากวงการทันที ทั้งบัญชีโซเชียลและงานเผยแผ่ธรรมะก็เงียบสนิท ส่งผลให้ผู้ติดตามและญาติโยมจำนวนมากตกใจ พร้อมตั้งคำถามว่า “เกิดอะไรขึ้น?”
ขณะเดียวกัน รายการ ได้หยิบยกเรื่องนี้มาเป็นประเด็นใหญ่ โดยตั้งข้อสงสัยว่า ใครกันแน่คือเหยื่อ?
พระผู้ล่วงผิดศีลธรรม หรือ หญิงสาวที่ใช้ “ความลับ” ต่อรองผลประโยชน์?
โลกออนไลน์จึงแตกออกเป็น 2 ฝ่าย หนึ่งคือผู้ศรัทธาที่ผิดหวังในตัวเจ้าคุณ อีกฝ่ายคือผู้ตั้งข้อสงสัยว่าอาจมีการจัดฉากล่อพระ และใช้ความสัมพันธ์ส่วนตัวเป็นเครื่องต่อรองทางการเงิน
กรณี “เจ้าคุณอาชว์” ที่ลาสิกขาอย่างเงียบ ๆ หลังตกเป็นข่าวมีความสัมพันธ์เชิงชู้สาวกับหญิงสาวในสังคมชั้นสูง พร้อมข้อกล่าวหาเรื่องการถูกแบล็กเมล ก่อให้เกิดแรงกระเพื่อมอย่างรุนแรงในแวดวงสงฆ์ โดยมีผลกระทบในหลายมิติ ดังนี้:
ศรัทธาของสาธารณชนต่อพระสงฆ์เสื่อมถอย พระภิกษุที่เคยเป็นที่นับถือของญาติโยมจำนวนมาก เมื่อมีข่าวอื้อฉาวด้านศีลธรรม ก็ย่อมส่งผลกระทบโดยตรงต่อความเชื่อมั่นในพระพุทธศาสนา ญาติโยมรู้สึกผิดหวังและตั้งคำถามว่า
“พระที่เราเคารพศีลจริงหรือภาพลักษณ์?” กรณีนี้อาจทำให้ ผู้คนทั่วไปรู้สึก “ห่างศาสนา” มากขึ้นโดยไม่รู้ตัว
วงการสงฆ์ถูกตั้งคำถามเรื่องการควบคุมพฤติกรรมพระ ทำไมจึงไม่มีหน่วยงานหรือกลไกภายในตรวจสอบพฤติกรรมของพระชั้นผู้ใหญ่? กรณีแบบนี้เกิดซ้ำซาก สะท้อนถึงปัญหาเชิงโครงสร้าง เช่น ความหละหลวมของสำนักพระพุทธฯ
ผู้คนเริ่มเรียกร้องให้ปฏิรูปวงการสงฆ์ให้โปร่งใสมากขึ้น ทั้งในด้านการเงินและจริยธรรม
ความสัมพันธ์ระหว่าง “ศาสนากับสื่อ” ถูกท้าทาย เมื่อพระสงฆ์ชื่อดังใช้สื่อโซเชียลเป็นเครื่องมือเผยแผ่ธรรมะ แต่ในอีกด้านหนึ่งอาจถูกใช้เป็นเวทีปกปิดพฤติกรรมส่วนตัว
คำถามคือ “เราติดตามธรรมะจากความจริง หรือแค่ภาพลักษณ์ที่แต่งแต้ม?” ต้องมีมาตรฐานหรือแนวทางปฏิบัติให้เหมาะสม เมื่อพระมีบทบาททางสื่อมากขึ้น
ช่องว่างทางกฎหมายต่อพระสงฆ์ในกรณีฉาว แม้พระจะลาสิกขาแล้ว แต่หากมีพฤติกรรมไม่เหมาะสมในขณะครองสมณเพศ ก็ไม่ควรปล่อยผ่าน
ปัจจุบันยังไม่มีมาตรการชัดเจนในการดำเนินคดีทางวินัย หรือคดีแพ่ง/อาญาหากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งแจ้งความ
กระทบต่อการศึกษาพุทธศาสนาและเยาวชน โรงเรียน สถาบันการศึกษา และกลุ่มเยาวชนที่เคยยึดเจ้าคุณอาชว์เป็นแบบอย่างด้านคุณธรรม อาจรู้สึกสับสน
ความเคารพต่อพระสงฆ์ในมิติของ “ครูศีลธรรม” เสื่อมลงในหมู่คนรุ่นใหม่
กรณีนี้อาจพิจารณาได้จากหลายแง่มุมทางกฎหมาย ทั้งในส่วนของฝ่ายพระ (เจ้าคุณอาชว์) และฝ่ายหญิงสาวผู้ถูกกล่าวหาว่ามีการแบล็กเมลหรือกรรโชกทรัพย์ โดยมีรายละเอียดดังนี้:
กรณี “แบล็กเมล” หรือ “กรรโชกทรัพย์” หากฝ่ายหญิงมีการข่มขู่เรียกร้องผลประโยชน์จากเจ้าคุณอาชว์ โดยใช้อ้างว่ามีภาพลับหรือข้อมูลส่วนตัว อาจเข้าข่ายความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา:
มาตรา 337 – ความผิดฐานกรรโชกทรัพย์ “ผู้ใดข่มขู่จะประทุษร้ายร่างกาย เสรีภาพ ชื่อเสียง หรือทรัพย์ เพื่อให้บุคคลยอมจำยอมให้ทรัพย์สินแก่ตนหรือผู้อื่น ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ” หากมี “ภาพลับ–คลิปส่วนตัว” เข้ามาเกี่ยวข้อง:
มาตรา 287/1 – ความผิดฐานเผยแพร่สื่อลามกโดยไม่ได้รับความยินยอม (กรณีปล่อยคลิปส่วนตัว หรือขู่ว่าจะปล่อย)
กรณีพระภิกษุล่วงละเมิดพระธรรมวินัย ในกรณีที่เจ้าคุณอาชว์มีความสัมพันธ์ลับกับสตรีขณะยังครองสมณเพศ อาจเข้าข่ายอาบัติร้ายแรงตามพระธรรมวินัย เช่น:
อาบัติสังฆาทิเสส (เสพเมถุนโดยเจตนา) คืออาบัติร้ายแรงอันดับสอง รองจากปาราชิก ซึ่งต้อง “อาบัติแล้วอยู่ไม่ได้ หากไม่แสดงตนต่อสงฆ์” แม้เจ้าคุณจะ “สึก” แล้ว แต่หากเหตุการณ์เกิดขึ้นขณะยังเป็นพระ อาจถูกสอบสวนวินัยภายหลัง
พระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. 2505 (และฉบับแก้ไข) มีข้อกำหนดว่าพระสงฆ์ต้องประพฤติตามพระธรรมวินัย และไม่เกี่ยวข้องกับหญิงในทางชู้สาว
กรณีความเสียหายต่อชื่อเสียง หากมีการเผยแพร่ข้อมูลเท็จหรือกล่าวหาโดยไม่มีหลักฐานที่ชัดเจน ไม่ว่าจะจากฝ่ายหญิงหรือฝ่ายอื่นในสังคมออนไลน์ ก็อาจเข้าข่าย: มาตรา 326 – หมิ่นประมาท หรือ มาตรา 328 – หมิ่นประมาทโดยการโฆษณา
ซึ่งอาจถูกฟ้องกลับได้ หากสร้างความเสียหายร้ายแรงต่อชื่อเสียงและอาชีพของบุคคล
การลาสิกขาไม่ยกเว้นความรับผิดชอบ แม้เจ้าคุณอาชว์จะ “ลาสิกขา” แล้ว แต่อาจยังถูกตรวจสอบย้อนหลัง หากเหตุการณ์อื้อฉาวหรือความเสียหายเกิดขึ้นขณะยังดำรงสมณเพศ เช่น การใช้เงินวัดเพื่อจ่ายค่าแบล็กเมล หรือรับผลประโยชน์โดยมิชอบขณะเป็นพระ
เมื่อเหตุการณ์ฉาวเกี่ยวกับ พระนักเทศน์มีชื่อเสียง ปรากฏในสื่อและกลายเป็นกระแสสังคม พระเถระผู้ใหญ่ในระดับจังหวัดและคณะสงฆ์กลางต่างออกมาแสดงความเห็นอย่างระมัดระวัง แต่เน้นย้ำไปที่เรื่อง ศีลธรรม–วินัย–ศรัทธาสาธารณะ เป็นหลัก ดังนี้:
ช“แม้จะสึกแล้ว แต่บาปกรรมไม่สึกตาม” พระผู้ใหญ่หลายรูปกล่าวตรงกันว่า การลาสิกขา ไม่ใช่ข้อยกเว้นต่อ ผลแห่งกรรม และการกระทำที่ผิดวินัยสงฆ์ขณะยังครองเพศบรรพชิต “การที่พระสึกหนีปัญหา ไม่ใช่การแก้ปัญหา แต่คือการเปิดเผยว่าเขาไม่อาจรักษาศีลได้”ภิกษุพึงละเว้นสตรี ไม่ใช่เพียงกาย แต่ในใจด้วย” พระอาวุโสบางรูปเตือนว่า การยุ่งเกี่ยวกับสตรี แม้จะไม่มีเพศสัมพันธ์ แต่หากมี “ความรัก–ความยึดติด” ก็ถือเป็นจุดเริ่มต้นแห่งอาบัติ
“เมื่อจิตเสื่อม ธรรมก็เสื่อม เมื่อธรรมเสื่อม ศาสนาก็เสีย” “อย่าตัดสินพระทั้งหมด จากพระไม่กี่รูป” หลายท่านแสดงความกังวลว่ากรณีนี้จะทำให้ประชาชน เหมารวมวงการสงฆ์ จึงขอให้แยกแยะว่าเป็น พฤติกรรมส่วนบุคคล
“เหมือนกับแพทย์คนหนึ่งทำผิด เราไม่อาจกล่าวว่าแพทย์ทั้งวิชาชีพเป็นคนเลว” “สงฆ์ต้องปรับตัว แต่ไม่ละวินัย” บางรูปเสนอให้มีการ ควบคุมพฤติกรรมพระนักเทศน์–พระมีชื่อเสียงในโซเชียล ให้รัดกุมขึ้น เพราะแม้เจตนาดีในการเผยแผ่ธรรม แต่หากขาดวินัย ก็จะเกิดเรื่องอื้อฉาวง่าย
“ธรรมะควรอยู่เหนือกระแส ไม่ใช่ไหลไปกับไลก์และผู้ติดตาม” “ผู้หญิงไม่ใช่ต้นเหตุแห่งบาป – กิเลสในใจต่างหาก” พระหลายรูปเตือนว่าไม่ควรโทษหญิงสาวเพียงฝ่ายเดียว แม้จะมีพฤติกรรมไม่เหมาะสม เพราะ “ผู้ล่วงละเมิดศีลคือภิกษุเอง มิใช่หญิงสาวที่มายั่ว หากจิตมั่นในธรรม ก็ย่อมไม่หวั่นไหว”
กรณี เจ้าคุณอาชว์ พระนักเทศน์ชื่อดัง ย่องลาสิกขาแบบเงียบ ๆ ท่ามกลางข่าวลือว่าเกี่ยวข้องกับหญิงสาวไฮโซ และถูกแบล็กเมลด้วยข้อมูลส่วนตัว กลายเป็นประเด็นร้อนในสังคมและโลกออนไลน์ โดยฝ่ายหญิงถูกกล่าวหาว่าข่มขู่เรียกเงินเพื่อแลกกับการไม่เปิดเผยภาพหรือข้อความส่วนตัว ขณะที่ฝ่ายพระเองก็ถูกตั้งคำถามถึงความเหมาะสมของพฤติกรรม แม้จะพ้นสมณเพศแล้วก็ตาม
เหตุการณ์นี้ส่งผลให้เกิดแรงกระเพื่อมในวงการสงฆ์และศรัทธาของประชาชนอย่างหนัก หลายฝ่ายมองว่าควรมีการตรวจสอบวินัยสงฆ์อย่างเข้มงวด ขณะที่พระเถระผู้ใหญ่เตือนว่า “ศีลธรรมไม่ควรละ แม้ศาสนาจะปรับตัวได้” และเตือนสติทั้งพระและฆราวาสว่า กิเลสนั้นเกิดจากใจ ไม่ใช่จากเพศหญิงเพียงฝ่ายเดียว
ด้านข้อกฎหมาย หากฝ่ายหญิงมีการข่มขู่แบล็กเมลจริง อาจเข้าข่าย กรรโชกทรัพย์ หรือ หมิ่นประมาทโดยการโฆษณา ขณะที่ฝ่ายชายอาจถูกตรวจสอบย้อนหลังหากมีการใช้ทรัพย์สินวัดในทางไม่เหมาะสม
กรณีนี้ไม่ใช่เพียงดราม่าความรัก แต่คือบทเรียนด้านศีลธรรม จริยธรรม และการใช้เทคโนโลยีอย่างมีขอบเขตในโลกยุคใหม่
เมื่อศรัทธาสะเทือน… สงฆ์ต้องทบทวน
และเมื่อความลับกลายเป็นอาวุธ… ทุกฝ่ายก็ไม่มีใคร “บริสุทธิ์” ได้เต็มที่อีกต่อไป ดูหนังฟรีออนไลน์